หน้าเเรก

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำงานผ่านเนต ง่ายๆ กับ TH Online Survey ได้ตังใช้จริงๆ

สร้างรายได้กับ TH Online Survey  ตอบเเบบสอบถามง่ายแล้วได้เงินจริงๆ  สมัครด่วน !!!  ผมลองเเล้วได้เงินจริงๆครับ  ไม่ได้หลอกลวงใดๆ ขึ้นอยู่กับความขยันครับ ดีกว่านั่งอยู่หน้าคอมเเล้วไม่ได้อะไรเลย !!
สมัครได้ที่นี่ครับ >>> http://th.ipanelonline.com/register.html?inviter_id=175163


เพิ่มเติม >>ชื่อนาม-สกุล,ชื่อ ถ้าใส่ภาษาไทย ไม่ได้ ให้กรอกเป็นภาษาอังกฤษนะครับ ให้กรอกอีเมลเป็นอีเมลที่ใช้อยู่จิงนะครับ เพราะต้องยืนยันอีเมล หลังจากสมัครเสร็จ ส่วนข้อมูลอื่นกรอกมั้วๆก้อได้ครับ!!!


1. สมัครสมาชิก TH Online Survey หลังจากนั้นอย่าลืมยืนยัน email ที่ได้รับจากระบบแล้ว(ใน inbox เมลของคุณที่กรอกตอนสมัครสมาชิกครับ ถ้าไม่เจออาจอยู่ที่เมลขยะนะครับ) ให้ทำการกรอกข้อมูลของคุณ และุคุณจะได้รับโบนัส 500 แต้มสะสม


2. ตอบแบบสอบถาม เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อย ให้คุณเข้าร่วมตอบแบบสอบถาม คุณจะได้รับแต้มสะสม, แต้มสะสมเท่าไรขึ้นอยู่กับความยาวการสำรวจนั้นๆ

3. แนะนำเพื่อน คัดลอกลิงค์แนะนำและส่งให้เพื่อนของคุณ,หากเพื่อนของคุณลงทะเบียนเป็นสมาชิกของเรา,คุณจะได้รับอย่างน้อย100แต้มสะสม
ตัวอย่าง:หากคุณแนะนำ 50 คนได้เข้าร่วมการสำรวจ,คุณจะได้ 5000 แต้มสะสมจาก TH Online Survey.

4.รับ เงิิน การแลกเป็นเงินรางวัลนั้นสามารถทำได้เมื่อคุณมีเติมสะสมถึงกำหนด (ขั้นต่ำ 50 บาทต่อ 5200 แต้ม) เมื่อแลกแล้วเงินจะโอนเข้าบัญชี Paypal ของคุณ **อย่าลืมป้อนข้อมูลบัญชี Paypal เพิ่มในโปรไฟล์ของคุณ**

ผู้ใดยังไม่มีสามารถสมัครเปิดบัญชี Paypal ฟรี (บัญชีบุคคลทั่วไป) ได้ที่นี่ www.paypal.com (กรอกทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษครับ)



















เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ และขอให้ทุกคนโชคดีมีเงินใช้เยอะๆ นะครับ
****
อ้างอิง jk1005love

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษ ลองดูกันนะครับ

ลองอ่านดูนะครับ แล้วช่วยเพิ่มเติมวิธีการเรียนภาษาอังกฤษกันมา เพื่อคนไทยได้เก่งอังกฤษกัน

การ เรียนรู้ภาษาอังกฤษ เราจะต้องมี Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีกับสิ่งนี้ หากคุณไม่ทราบว่าอะไรคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดี คืออะไร ลองย้อนกลับไปมองสิ่งต่างๆ ที่คุณเคยอยากได้ อยากมีสิครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากได้เสื้อผ้าดีๆ สวยๆ กระเป๋ายี่ห้อดังๆ หรือ แม้แต่ตอนที่คุณจีบแฟนคุณ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคุณมี Passion ซึ่งทำให้คุณทุ่มเทพละกำลัง ความตั้งใจ ความพยายามให้ได้มันมา เพราะรู้ว่า มันมีค่ากับคุณแน่นอน

ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีต่อภาษาอังกฤษ ซึ่งเราต้องคิดต่อว่า แล้วเราจำเป็นต้องรู้ หรือ มีภาษาอังกฤษไว้ทำไม คำตอบคิอ ต้องมีครับ (Must have) เพราะในปัจจุบันนี้ทุกอย่างในชีวิตประจำวันเราคือ ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนและการ ทำงาน อันจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน

ในปัจจุบันนี้ การรู้ภาษาอังกฤษไม่ใช่เป็นเรื่องของความสามารถพิเศษแล้ว ลองจินตนาการการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานของบริษัท เมื่อคุณตอบคำถามว่า คุณทราบภาษาอังกฤษ ผู้ที่สัมภาษณ์คุณไม่ได้มองว่าคุณมีความสามารถที่โดดเด่นไปจากคนอื่นเลย บางบริษัทที่มีชื่อเสียง ยังบังคับให้คุณไปสอบภาษาอังกฤษกับการสอบที่มาตรฐาน เช่น TOEIC, TOELF, IELS ตลอดจน CU-TEP, TU-GET แล้วนำคะแนนสอบที่ผ่านตามเกณฑ์มาร่วมพิจารณากับคุณสมบัติอื่นๆ ส่วนการสอบเข้าเรียนในระดับต่างๆ แทบไม่ต้องกล่าวถึง ต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษมาเป็นเกณฑ์ หรือ แทบจะเป็นตัววัดตัวสุดท้ายในการตัดสินในการเข้าศึกษา

ยิ่งกล่าวไปทำ ให้เครียด จนมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อภาษาอังกฤษ เราลองย้อนกลับมาพิจารณา แล้วจะทำอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าคงไม่มีกฎเกณฑ์ใดตายตัว หากแต่จะเป็นเรื่องของการแนะนำส่วนตัว แต่ท้ายที่สุดต้องขึ้นกับผู้ที่ศึกษาเองว่ามี Passion แล้วทุ่มเทกับภาษาอังกฤษ แค่ไหน ดังนั้นผมขอแนะนำวิธีการเรียนรู้ที่สามารถนำเอาไปใช้ นะครับ

หากแยกประเภทการเรียนภาษาอังกฤษ ผมขอแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก คือ

1. ไวยากรณ์ (Grammar)
2. ศัพท์ (Vocabulary)
3. การอ่าน (Reading)
4. การเขียน (Writing)
5. การฟัง (Listening)
6. การพูด (Speaking)

1. ไวยากรณ์ (Grammar)
ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

จริง แล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ) อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบ

การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีกด้วย

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1405067#ixzz17D1ALUcx

20 เคล็ดลับในการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดี

1.ความเกี่ยวเนื่อง: ถ้าคุณจัดคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์แล้วเขียนออกมาเป็นแผนผังจะทำให้คุณจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น
2.เขียน: การ นำคำศัพท์นั้นมาใช้จะทำให้คุณจำได้ฝังใจยิ่งขึ้น ลองเขียนแต่งประโยคโดยนำศัพท์ใหม่ที่เรียนนั้นมาประกอบหรือแต่งเรื่องโดยใช้ กลุ่มคำ
ศัพท์หรือสำนวนที่เรียนอยู่
3.วาดรูป: ดึงวิญญาณศิลปินในตัวคุณออกมาใช้ โดยการวาดรูปที่แสดงถึงศัพท์ที่คุณเรียนอยู่ ภาพที่คุณวาดจะช่วยกระตุ้นความ
ทรงจำถึงศัพท์นั้นในอนาคต
4.แสดง: แสดงท่าทางประกอบคำศัพท์หรือสำนวนที่คุณกำลังเรียนอยู่ หรือจินตนาการว่าคุณจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ศัพท์คำนั้น
5.สร้าง: ออก แบบ flashcards ศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมความหมายแล้วเปิดอ่านหรือท่องในยามว่าง ทำเล่มใหม่ขึ้นทุกอาทิตย์และอย่าลืมทบทวนอันเก่าไปพร้อมๆ กันด้วย
6.ความสัมพันธ์: กำหนดแต่ละสีให้แต่ละคำศัพท์ ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะช่วยให้คุณจำศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นเมื่อนึกถึงคำนั้นในคราวต่อไป
7.ฟัง: นึกถึงศัพท์คำอื่นที่ออกเสียงคล้ายๆ กับคำศัพท์ใหม่ที่พยายามเรียนอยู่ ใช้ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ในการช่วยให้คุณจำการออกเสียงของคำใหม่นั้น
8.เลือก: จำ ไว้ว่าการเรียนในหัวข้อที่คุณชอบหรือสนใจจะทำให้คุณรู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ฉะนั้นคุณควรใส่ใจในการเลือกคำศัพท์ที่คุณคิดว่ามีประโยชน์หรือน่าสนใจ เพราะแม้แต่กระบวนการเลือกคำที่จะเรียนก็มีผลให้คุณจำได้แม่นและเร็วขึ้น ด้วยเช่นกัน !
9.ข้อจำกัด: คุณ ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเราจะจำศัพท์ที่มีอยู่ในดิกชันนารี่ทั้ง หมดได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นจำกัดการเรียนศัพท์ใหม่แค่วันละ 15 คำก็พอแล้ว ซึ่งถ้าพยายามจำให้มากคำเกินไปกว่านี้แทนที่มันจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจกลับ จะทำให้คุณสมองตื้อแทน
10.สังเกต: พยายามสังเกตหาคำศัพท์ที่คุณกำลังเรียนอยู่เมื่ออ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ

11.ยอมรับความจริง ไม่ มีใครพูดภาษาที่สองได้ตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กันทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าจะต้องเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น

12.เรียนรู้ทีละนิด จาก การศึกษาพบว่า การทบทวนเป็นระยะเวลาสั้นๆ อย่างเช่น ในระหว่างทานอาหารเช้า ในขณะอาบน้ำ หรือในขณะเดินทาง จะส่งผลให้คุณจดจำได้ดีกว่า

13.ท่องศัพท์ ยิ่ง คุณรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ คุณก็สามารถพูดและเข้าใจได้มากขึ้นเท่านั้น เทคนิคในการจดจำคำศัพท์ คือ พกการ์ดใบเล็กๆที่เขียนคำศัพท์ (ที่มีคำแปลอยู่ด้านหลัง) ไปกับคุณทุกที่

14.ฝึกหัดอย่างจริงจัง อย่าแค่ทำปากขมุบขมิบหรือท่องเอาไว้ใสใจ พูดหรืออ่านออกมาดังๆ ในทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อจะได้ฝึกปากของคุณให้เคยชินกับการออกเสียง
15.ทำการบ้าน การทำการบ้านคือการฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาให้เป็นไปอย่างแม่นยำ จนกลายเป็ความชำนาญ และสามารถทำออกมาได้อย่างอัตโนมัติในที่สุด

16. จับกลุ่มเรียน หา เวลาทบทวน ทำการบ้าน หรือแค่ฝึกพูดภาษานั้นๆ กับเพื่อนๆ เป็นประจำ ซึ่งจะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องให้กันและกันได้ แถมยังทำคุณจดจำได้แม่นยำยิ่งขึ้นด้วย

17.หาจุดอ่อน คุณ ควรหาจุดอ่อนในการเรียนของตัวเองให้เจอ เพื่อที่จะได้เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ อย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนเงียบๆ และไม่ค่อยมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ก็บังคับตัวเองให้เลือกที่นั่งแถวหน้าในห้องเรียนซ

18.หาโอกาสในการใช้ภาษา เพื่อ สร้างความคุ้นเคยกับภาษานั้นๆ ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเจ้าของภาษาเช่าหนังที่พูดภาษานั้นๆ มาดูหรือแม้กระทั่งหาแฟนที่เป็นเจ้าของภาษานั้นซะเลย

19. ทุ่มความสนใจ พูด ง่ายๆ ก็คือ หายใจเข้าออกก็ให้เป็นภาษานั้น เรียนรู้ภาษานั้นๆ ทั้งในและนอกห้องเรียนอย่างจริงจังและเต็มที่ถึงขนาดถึงขนาดถ้าฝันได้ก็อาจ ฝันเป็นภาษานั้นๆ ด้วย

20. ปรึกษาผู้รู้ ถ้า มีปัญหาหรือติดขัดอะไร ก็ต้องสอบถามครูผู้สอนหรือเจ้าของภาษานั้นทันที เพื่อทำลายกำแพงที่เป็นอุปสรรคในการเรียนออกไปให้เร็วที่สุด คุณจะได้ไม่ต้องสะดุดอยู่นานเกินไปซึ่งนั้นอาจทำให้คุณเกิดความเบื่อหน่าย ได้

อยากเก่งเรื่องการเขียน(อังกฤษ) ทำอย่างไร


ดิฉันแน่ใจว่าคุณจะต้องเคยอ่านเคยฟังวิธีฝึกมาหลายแง่หลายมุม แล้วแต่ละที่ก็แตกต่างกันไป แต่สำหรับฉันเองฉันฝึกแบบนี้ค่ะ



ข้อ ศูนย์เลย และสำคัญมากๆๆ คือต้องรักก่อนค่ะ ต้องรักที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เรียนรู้ภาษาใหม่ๆ ถ้าไม่รักด่านแรก (คือข้อถัดจากนี้) ก็ไม่ผ่านหรือว่าผ่านไปได้ยากมากค่ะ ฉันชอบวิธีที่ครูเคทเขียนในหนังสือเกี่ยวกับจุดนี้คือ สร้างแรงบันดาลใจก่อนว่าเราจะเรียนภาษาเพื่ออะไร เพื่อให้ได้งานที่ดีกว่า เพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่อให้โก้เก๋ แล้วเก็บแรงบันดาลใจไว้ตลอดเวลาค่ะ

ข้อ แรก เริ่มจากแกรมม่าร์และศัพท์ค่ะ ถือว่าเป็นหัวใจหลักในการเขียน แต่ไม่ได้หมายถึงว่าต้องรู้แกรมม่าร์แบบนักภาษาศาสตร์ (แต่แน่นอนถ้าได้ก็ดีค่ะ) ดิฉันหมายถึงพอรู้ในระดับหนึ่ง (ม. ปลายเมืองไทย) และศัพท์ก็ควรรู้บ้าง ในระดับม. ปลายอีกเช่นกัน

แต่ รู้แกรมม่าร์อย่างเดียว ให้ตายยังไงก็เขียนไม่ได้(ดี)ค่ะ ดิฉันเจอปัญหานี้มาก่อน ดิฉันเรียนแกรมม่าร์มา ดิฉันแค่จะบอกว่าแกรมม่าร์ต้องดีระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าอยากเขียนได้ดี) แต่พออาจารย์ให้เขียน ดิฉันกลับเขียนไม่ออก แล้วยังเขียนผิดแกรมม่าร์อีกเยอะมาก

ที่ เป็นแบบนี้เพราะว่า ระหว่างเขียนแกรมม่าร์ไม่ใช่เรื่องเดียวที่นักเขียนเป็นห่วง ดังนั้นนักเขียนอาจจะเสียสมาธิไปกับเรื่องอื่นๆ จนไม่ได้สนใจแกรมม่าร์เลย (นี่ แหละค่ะสาเหตุที่ผมว่าทำไมแกรมม่าร์ต้องดี ถ้าแกรมม่าร์ดีแล้ว คุณก็ตัดความกังวลไปได้หนึ่งอย่างระหว่างเขียน เหมือนเวลาเราเขียนภาษาไทยครับ คุณไม่เคยกังวลว่าจะเขียนถูกหลักไวยกรณ์หรือเปล่า (เพราะ ว่าคุณมีความรู้เรื่องไวยกรณ์ไทยแล้ว) แต่สิ่งที่คุณกังวลคือ สิ่งที่คุณส่งให้คนอ่าน ดังนั้นในการเขียนอังกฤษเช่นกัน ฝึกแกรมม่าร์ให้แม่น เพื่อที่คุณจะได้ไปกังวลกับตัวสารที่คุณต้องการส่งให้คนอ่านค่ะ)

ข้อ สอง อ่านเยอะๆ ค่ะ แต่อย่าอ่านเปล่า ต้องอ่านแบบนักเขียน นั่นคือ เวลาอ่านก็สังเกตว่าศัพท์ตัวไหนใช้ยังไง นักเขียนคนนี้จบย่อหน้ายังไง นักเขียนคนนี้เปลี่ยนเรื่องคุยระหว่างย่อหน้ายังไง เป็นต้น

ข้อ สาม ไปเรียนค่ะ การเขียนเป็นเรื่องที่ฝึกได้ แต่หลังจากที่เราพอมีพื้นฐานมาแล้วเท่านั้น ถ้าเรายังไม่มีพื้นฐาน เราต้องเรียนเพื่อให้รู้ถึงเทคนิคต่างๆ และอีกอย่างการเรียนหมายถึง การมีคนตรวจงานเขียนให้ เรียนที่ไหน? ดิฉันต้องบอกว่าต้องถามตัวคุณเองว่าคุณอยากเขียนได้แบบไหน

เขียนได้แบบสอบผ่าน -- ก็เรียนตามสถาบันกวดวิชาเพื่อเตรียมตัวสอบทั่วไป
เขียนได้แบบใช้งานได้จริง -- เรียนในที่ที่เข้าสอนให้ใช้งานได้จริงๆ (คือ ไม่ใช่พวกคอร์สเตรียมตัวสอบ)

ข้อ สี่ ฝึกคิด งานเขียนที่ดี เกิดจากความคิดที่ดี นักเขียนต้องคิดเยอะค่ะ คิดแล้วต้องฝึกประมวล/สรุปความคิด เช่น เพื่อนคุณสามคนไปดูหนังมาเรื่องเดียวกัน แต่ว่าแต่ละคนมารีวิวให้คุณฟังต่างกันหมด แล้วผมถามคุณว่าไหนคุณบอกหน่อยดิว่า review หนังเรื่องนี้เป็นยังไง? สังเกตนะคะผมดิฉันไม่ได้ถามคุณว่า "เพื่อนแต่ละคน review หนังยังไง" ทีนี้แหละ คุณต้องประมวลรีวิวทั้งสามออกมาเป็นเรื่องๆ เดียว (สาม เป็น หนึ่ง) นี่แหละค่ะ เป็นงานหนึ่งของนักเขียน

ข้อห้า ข้อนี้ดูเหมือนจะไกลตัว และเป็นอุดมคติไปหน่อย แต่ก็แนะนำทุกคนที่มาปรึกษาเสมอว่า ต้องอ่านทฤษฎีการเขียน (theory of composition)  เพราะมันทำให้รู้ว่านักเขียนคิดหรือว่ามองโลกยังไง มองการเขียน (writing process) ยังไง เป็นต้น

ข้อ หก เป็นคำแนะนำจากพี่ บอกว่า ถ้าอยากเก่ง ก็ต้องเรียนเอกอังกฤษ  แต่ก็รู้ว่าความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกันแน่นอน แต่ถ้าคุณเรียนเอกอังกฤษอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นโชคดีค่ะ

เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ

การสอนภาษาทุกภาษา มีธรรมชาติของการเรียนรู้เช่นเดียวกัน คือ เริ่มจากการฟัง และการพูด  แล้วจึงไปสู่การอ่านและการเขียน ตามลำดับ  การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษในเบื้องต้น  มุ่งเน้นความถูกต้องของการใช้ภาษา ( Accuracy)  ในเรื่องของเสียง  คำศัพท์  ( Vocabulary)   ไวยากรณ์ ( Grammar)   กระสวนประโยค (Patterns)  ดังนั้น  กิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนระดับต้นได้ฝึกทักษะการพูด  จึงเน้นกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องฝึกปฏิบัติตามแบบ หรือ ตามโครงสร้างประโยคที่กำหนดให้พูดเป็นส่วนใหญ่  สำหรับผู้เรียนระดับสูง กิจกรรมฝึกทักษะการพูด จึงจะเน้นที่ความคล่องแคล่วของการใช้ภาษา ( Fluency) และจะเป็นการพูดแบบอิสระมากขึ้น  เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการพูด คือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการพูดอย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว  ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และความสามารถอย่างไร  จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการพูดให้แก่ผู้เรียนได้อย่างสอดคล้องกับระดับและศักยภาพของผู้เรียน
1.    เทคนิควิธีปฎิบัติ
กิจกรรมการฝึกทักษะการพูด มี  3  รูปแบบ   คือ
1.1   การฝึกพูดระดับกลไก (Mechanical  Drills)  เป็นการฝึกตามตัวแบบที่กำหนดให้ในหลายลักษณะ  เช่น
พูดเปลี่ยนคำศัพท์ในประโยค (Multiple Substitution Drill) 
พูดตั้งคำถามจากสถานการณ์ในประโยคบอกเล่า (Transformation  Drill)
พูดถามตอบตามรูปแบบของประโยคที่กำหนดให้ (Yes/No  Question-Answer Drill)
พูดสร้างประโยคต่อเติมจากประโยคที่กำหนดให้  (Sentence  Building)
พูดคำศัพท์  สำนวนในประโยคที่ถูกลบไปทีละส่วน  (Rub out and Remember)
พูดเรียงประโยคจากบทสนทนา (Ordering  dialogues)
พูดทายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในบทสนทนา (Predicting  dialogue)
พูดต่อเติมส่วนที่หายไปจากประโยค  ( Completing Sentences )
พูดให้เพื่อนเขียนตามคำบอก  (Split  Dictation)
ฯลฯ
1.2   การฝึกพูดอย่างมีความหมาย ( Meaningful  Drills)  เป็นการฝึกตามตัวแบบที่เน้นความหมายมากขึ้น มีหลายลักษณะ  เช่น  
                     พูดสร้างประโยคเปรียบเทียบโดยใช้รูปภาพ
                     พูดสร้างประโยคจากภาพที่กำหนดให้
                     พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ในห้องเรียน
                     ฯลฯ
1.3   การฝึกพูดเพื่อการสื่อสาร  (Communicative  Drills)  เป็นการฝึกเพื่อมุ่งเน้นการสื่อสาร  เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างคำตอบตามจินตนาการ  เช่น
พูดประโยคตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง  ( Situation)
พูดตามสถานการณ์ที่กำหนดให้  ( Imaginary  Situation)
พูดบรรยายภาพหรือสถานการณ์แล้วให้เพื่อนวาดภาพตามที่พูด  ( Describe  and Draw)
ฯลฯ

รู้หรือปล่าว

เทคนิคการเรียนพูดภาษาอังกฤษให้ได้เร็ว และง่ายที่สุด
1.ลืมเสียงผิดๆ แบบไทยๆ ที่คุณเคยรู้มาให้หมด

2.เรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยการจำเสียงที่ได้ยินใหม่(เสียงภาษาอังกฤษแบบฝรั่งพูดกัน) อย่าพึ่งกังวลกับหลักภาษามากนัก


3.
อย่าขี้เกียจ อ้าปาก ขยับปาก ขยับลิ้น ในการพูดภาษาอังกฤษ
ตามเทคนิคการออกเสียงตัวอักษร


4.
สร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้คุณ ได้ฟัง ได้เห็น และได้พูด
คำภาษาอังกฤษให้บ่อยขึ้นคุณอาจเขียนคำที่กำลังฝึกพูดไว้
หน้าประตูห้องหรือที่อื่นๆ, แบ่งเวลาดูVCDให้ต่อเนื่อง
และที่สำคัญ ขอให้คุณเปล่งเสียงคำภาษาอังกฤษที่ได้ยิน
ตามวิธีออกเสียงในVCDบทเรียนบ่อยๆจนออกเสียงได้ถูกต้อง
ครบทุกคำ อย่าอายแม้ว่าคุณยังพูดไม่คล่อง
เมื่อคุณทำบ่อยขึ้นก็จะดีเอง
หลังจากที่คุณทำได้แล้วก็ก้าวไปสู่การออกเสียงทีละประโยค
ใช้วิธีเรียนรู้ด้วยความจำก่อนเมื่อพูดได้แล้ว
สำหรับผู้ใหญ่จะเรียนหลักภาษาเพื่อให้พูดได้ดีขึ้นก็ยิ่งง่าย
อย่างนี้คุณจะสนุกกับการเรียนภาษาอังกฤษ
เพราะคุณจะพูดโต้ตอบกับฝรั่งได้
ไม่ต้องอึดอัด อมเสียงพูดไว้ในพุงเหมือเดิมครับ

ว่าด้วยเทคนิค

สำหรับเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งนั้นทำได้ไม่ยาก
ลองมาทำตามคำแนะนำที่เอามาฝากกันนะคะ มีกฎสำคัญเพียง 10ข้อ

1.  Forget the rules.

2.  Nobody's perfect.

3.  Speaking English is not a test.

4.  Listen and copy. (Keep your ears open all the time.)

5.  Read, read and read.

6.  Learn to say "Could you please slow down?"

7.  Get yourself a foreign friend.

8.  Don't translate.

9.  Don't ever give up.

10. Be brave.